ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องของสุขภาพนั้นเป็นสิ่งจำเป็นจะต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากมนุษย์เราสามารถที่จะเจ็บป่วยได้ทุกที่ของร่างกาย ทำให้ตอนนี้มีโรคที่เกิดขึ้นมากมายกับคนเรา โดยต่อมน้ำลายอักเสบ ก็เป็นหนึ่งในอาการที่บ่งบอกได้ถึงโรคหลาย ๆ อย่าง ซึ่งสาเหตุของการเกิดอาการนี้ขึ้นก็มาจากหลายปัจจัยด้วยกัน ในบทความนี้จะพาให้คุณมารู้จักดูดไขมันที่ไหนดีกับอาการนี้กันเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ต่อมน้ำลายอักเสบ

ต่อมน้ำลายอักเสบ เป็นอาการอักเสบที่เกิดขึ้นในบริเวณต่อมน้ำลายข้างใดข้างหนึ่ง จนทำให้เกิดเป็นอาการต่าง ๆ เช่น หน้าบวม เจ็บในช่องปาก คอบวม คางบวม เป็นต้น โดยอาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ทั้งการที่ติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส การอุดตันภายในต่อมน้ำลายและสาเหตุอื่น ๆ อีกมากมาย รวมถึงสาเหตุที่มาจากการเป็น นิ่วในต่อมน้ำลาย โรคคางทูม หรืออาจจะเกิดจากภาวะขาดน้ำก็ได้เช่นกัน

อาการที่เกิดขึ้นเมื่อเป็นต่อมน้ำลายอักเสบ

ต่อมน้ำลายของคนเรานั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 ส่วน คือ ต่อมน้ำลายที่อยู่บริเวณใบหู ต่อมน้ำลายที่อยู่บริเวณใต้กราม และต่อมน้ำลายที่อยู่บริเวณโคนลิ้น โดยอาหารของต่อมน้ำลายอักเสบนั้น บางอาการจะมีความคล้ายคลึงกับโรคหรือภาวะอื่น ๆ ซึ่งอาจจะทำให้มีอาการ เช่น การที่มีรสชาติผิดปกติเกิดขึ้นภายในปาก ไม่สามารถที่จะอ้าปากได้ตามปกติ มีความรู้สึกว่าเจ็บ รู้สึกติดขัดเมื่อต้องอ้าปาก มีอาการเจ็บในปาก ปากแห้ง เจ็บที่บริเวณใบหน้า มีการบวมแดงที่บริเวณด้านหน้าใบหู ใต้กราม ใต้ปาก หน้าบวม คอบวม

อีกทั้งยังมีอาการของการติดเชื้อ เช่น มีไข้ หนาวสั่น รวมถึงหากว่าต่อมน้ำลายนั้นมีความอักเสบแบบเรื้อรัง ก็อาจจะทำให้มีอาการบวมที่ใต้คางแบบเป็น ๆ หาย ๆ หรือปวดในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหาร และอาจจะมีการติดเชื้อแทรกซ้อนได้ด้วย ซึ่งหากว่าผู้ป่วยพบว่ามีอาการผิดปกติที่บริเวณดังกล่าว หรือพบว่ามีอาการใด ๆ ของภาวะการอักเสบของต่อมน้ำลาย ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโรคต่อไป

สาเหตุของการเกิดต่อมน้ำลายอักเสบ

การเกิดต่อมน้ำลายอักเสบนั้นอาจเป็นผลที่มาจากการผลิตน้ำลายที่ลดลง เพราะว่าน้ำลายนั้นเป็นตัวช่วยในการย่อยเศษอาหาร ช่วยทำให้ช่องปากนั้นสะอาด ช่วยกำจัดแบคทีเรีย และยังช่วยควบคุมสมดุลของเชื้อแบคทีเรียที่ดีและไม่ดีในช่องปาก เมื่อมีน้ำลายน้อยลง ทำให้มีเศษอาหารตกค้าง จึงทำให้เกิดการติดเชื้อ และอักเสบของต่อมน้ำลายตามมาได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำลาย มีดังต่อไปนี้

• การติดเชื้อจากแบคทีเรีย

เชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus Aureus เป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบว่าทำให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำลายมากที่สุด อีกทั้งยังเชื้อแบคทีเรียอย่าง Streptococcus Viridans, Streptococcus Pyogenes, Haemophilus Influenzae และ Escherichia Coli ที่ทำให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำลายได้เช่นกัน

• การติดเชื้อจากไวรัส

การติดเชื้อจากไวรัสนั้นก็มาจากไวรัสหลายชนิด ได้แก่ โรคคางทูม มีการติดเชื้อจากเอชไอวี เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และเชื้อไวรัสพาราอินฟลูเอนซาชนิดที่ 1 กับ 2 เป็นต้น

นอกจากนี้สาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำลายก็ยังมาจากสาเหตุอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเป็นโรคเอดส์, โรคเบาหวาน, โรคบูลิเมีย, โรคพิษสุรา, นิ่วในต่อมน้ำลาย, ท่อน้ำลายอุดตันจากเสมหะ, เนื้องอก, โรคที่อยู่ในกลุ่มอาการโจเกรน, ซาร์คอยโดซิส, การมีภาวะปากแห้ง, ภาวะขาดน้ำ, ภาวะขาดสารอาหาร อีกทั้งยังมาจากการฉายรังสีรักษามะเร็งบริเวณศีรษะและคอ, การดูแลสุขอนามัยในช่องปากไม่ดีพอ รวมถึงการสูบบุหรี่ด้วย

การรักษาอาการต่อมน้ำลายอักเสบด้วยตนเองในเบื้องต้น

ต่อมน้ำลายอักเสบ เป็นอาการที่ผู้ป่วยสามารถรักษาอาการได้เองก่อนในขั้นเบื้องต้น เมื่อมีอาการที่หนักขึ้นจึงค่อยไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป โดยวิธีการรักษาอาการในเบื้องต้นด้วยเองก็มีดังต่อไปนี้

• การดื่มน้ำเปล่าวันละ 8-10 แก้ว โดยอาจจะมีการนำเอาน้ำมะนาวมาผสมเข้าไปด้วย เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นน้ำลาย และช่วย

ในการทำความสะอาดต่อมน้ำลาย

• ทำการประคบร้อนในบริเวณต่อมน้ำลายที่เกิดการอักเสบ
• ทำการนวดในบริเวณต่อมน้ำลายที่อักเสบ
• บ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น
• อมมะนาวหรือลูกอมที่รสเปรี้ยว เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นให้เกิดน้ำลายและช่วยลดอาการบวม
• ฝึกการรักษาสุขอนามัยในช่องปาก ทั้งการแปรงฟันและการใช้ไหมขัดฟัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ซึ่งจะเป็นการช่วยฟื้นฟูและ

ช่วยป้องกันการติดเชื้อแพร่กระจายได้

• ควรเลิกสูบหรี่ เพราะจะเป็นการช่วยให้หายได้เร็วขึ้น

ต่อมน้ำลายอักเสบ เป็นอาการที่เกิดมาจากสาเหตุของการติดเชื้อแบคทีเรียในการป้องกันหรือการลดภาวะที่จะทำให้เกิดภาวะเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้นั้น ก็อาจจะต้องมีการดื่มน้ำใหม่มากขึ้น หมั่นรักษาสุขอนามัยช่องปากด้วยการแปรงฟันและการใช้ไหมขัดฟัน เพื่อจะทำให้สามารถป้องกันเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้ แต่ทั้งนี้หากพบว่าต่อมน้ำลายมีการอักเสบในแบบที่ไม่สามารถป้องกันได้แล้ว ก็ควรที่จะเข้าพบแพทย์ เพื่อตรวจหาความผิดปกติ และรักษาได้อย่างทันท่วงทีนั่นเอง